เมนู

ไม่สำรวมเสียเถิด ฯลฯ (เหมือนเรื่องที่ 7)
กระผมเข้าใจว่า ชนเหล่านั้นจักได้บรรลุอมตบท
อันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้เป็นแน่.

จบ ทุติยมิคลุททกเปตวัตถุที่ 8

อรรถกถาทุติยมิคลุททกเปตวัตถุที่ 8



เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงพระปรารภมิคลุททกเปรตอีกตนหนึ่ง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า
กูฏาคาเร จ ปาสาเท ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ มาณพ ชื่อว่ามาควิกะคนหนึ่ง
แม้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติ ก็ละโภคสุข ออกเที่ยวล่าเนื้อ
ตลอดทั้งคืนเละวัน. อุบาสกคนหนึ่ง ผู้เป็นสหายของเธอ อาศัยความ
เอ็นดูจึงให้โอวาทว่า ดีละสหาย เธอจงงดเว้นจากปาณาติบาต เธอ
อย่าได้มี เพื่อสิ่งอันมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย.
เธอ หาได้เอื้อเฟื้อโอวาทนั้นไม่. ลำดับนั้น อุบาสกนั้น จึงขอร้อง
พระขีณาสพเถระ. ซึ่งเป็นที่เจริญใจแห่งในรูปหนึ่งว่า ดีละ พระผู้-
เป็นเจ้า ขอท่านจงแสดงธรรมแก่บุรุษชื่อโน้น โดยประการที่เธอ
จะพึงงดเว้นจากปาณาติบาต.
ภายหลังวันหนึ่ง พระเถระนั้น เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
ได้หยุดยืนที่ประตูเรือนของเธอ. มาควิกะนั้นเห็นท่านแล้ว เกิดมี
ความนับถือมาก ต้อนรับให้เข้าไปสู่เรือน ได้ตกแต่งอาสนะถวาย.

พระเถระนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว. ฝ่ายมาณพนั้น ก็เข้าไปหา
พระเถระนั่งแล้ว. พระเถระ ประกาศโทษในปาณาติบาต และ
อานิสงส์ ในการงดเว้นจากปาณาติบาตนั้น แก่เธอ. เธอ แม้ฟังดังนั้น
แล้ว ก็ไม่ปรารถนาจะงดเว้นจากปาณาติบาตนั้น. ลำดับนั้น
พระเถระจงกล่าวกะเธอว่า คุณ ถ้า ไม่สามารถจะงดเว้น
โดยประการทั้งปวงได้ไซร้ อันดับแรก เธอก็จงงดเว้นแม้ในกลางคืน
เถอะ. เธอรับคำแล้วว่า จะงดเว้นในเวลากลางคืน แล้วจึงงดเว้น
จากปาณาติบาตนั้น. คำที่เหลือ เช่นกับเรื่องที่ติดกันนั่นแล. ก็
ในบรรดาคาถาพระนารทเถระ ได้สอบถามเธอด้วยคาถา 3 คาถา
ว่า :-
ท่านรื่นรมย์อยู่ในเรือนยอดและปราสาท
บนบัลลังก์อันปูลาดด้วยผ้าขนสัตว์ ด้วยดนตรี
เครื่อง 5 อันบุคคลประโคมแล้ว ภายหลังเมื่อ
สิ้นราตรี พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ท่านเข้าไปเสวย
ทุกข์เป็นอันมากอยู่ในป่าช้า ท่านทำกรรมชั่ว
อะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือเพราะวิบากแห่ง
กรรมอะไร ท่านจึงได้เสวยทุกข์เช่นนี้.

ลำดับนั้น เปรตจึงบอกเนื้อความนั้นแก่ท่านด้วยคาถาว่า :-
เมื่อก่อนกระผมเป็นพรานเนื้อ อยู่ที่กรุง
ราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์มีภูเขาล้อมรอบ (เบญจ
คีรีนคร) เป็นคนหยาบช้า ทารุณ ไม่สำรวมกาย

วาจา ใจ อุบาสกคนหนึ่งผู้เป็นสหายของผม เป็น
คนใจดี มีศรัทธา มีภิกษุผู้คุ้นเคยของเขาเป็น
สาวกของพระโคดม แม้อุบาสกนั้น เอ็นดูกระผม
ห้ามกระผมเนือง ๆ ว่า อย่าทำบาปกรรมเลย พ่อ
เอ๋ย อย่าไปทุคคติเลย ถ้าสหายปรารถนาความ
สุขในโลกหน้า จงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อันเป็น
การไม่สำรวมเสียเถิด. กระผมฟังคำของสหาย
หวังดี มีความอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์นั้นแล้ว
ไม่ทำตามคำสั่งสอนทั้งสิ้น เพราะกระผมเป็นคน
ไม่มีปัญญา ยินดียิ่งแล้วในบาปตลอดกาลนาน
สหายผู้มีปัญญาดีนั้น แนะนำกระผมให้ตั้งอยู่ใน
ความสำรวม ด้วยความอนุเคราะห์ว่า ถ้าท่าน
ฆ่าสัตว์ในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนจงงดเว้น
เสีย กระผมจึงฆ่าสัตว์แต่เฉพาะกลางวัน กลาง
คืนเป็นผู้สำรวมงดเว้น เพราะฉะนั้น กลางคืน
กระผมจึงได้รับความสุข กลางวันได้เสวยทุกข์
ถูกสุนัขรุมกัดกิน คือ กลางคืนได้เสวยทิพย-
สมบัติ ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนั้น ส่วนกลางวัน
ฝูงสุนัขมีจิตเดือดดาล พากันห้อมล้อมกัดกิน
กระผมรอบด้าน ก็ชนเหล่าใด ผู้มีความเพียร
เนือง ๆ บากบั่นมั่นในพระศาสนาของพระสุคต-

เจ้า กระผมเข้าใจว่า ชนเหล่านั้น จักได้บรรลุ
อมตบทอันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้อย่าง
แน่นอน.

เนื้อความแห่งคาถานั้น มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังแล.
จบ อรรถกถาทุติยมิคลุททกเปตวัตถุที่ 8

9. กูฏวินิจฉยีกเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตจิกกินเนื้อหลังของตนกิน



พระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า
[119] ตัวท่านทัดทรงดอกไม้ ใส่ชฏา สวมกำไล
ทอง ลูบไล้ด้วยจุณจันทน์ มีสีหน้าผ่องใส
งดงามดุจสีพระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาในอากาศ
มีนางฟ้าหมื่นหนึ่งเป็นบริวารบำรุงบำเรอท่าน
นางฟ้าเหล่านั้นล้วนสวมกำไลทอง นุ่งห่มผ้าอัน
ขลิบด้วยทองคำ ท่านเป็นผู้มีอานุภาพมาก มีรูป
เป็นที่ให้เกิดขนชูชันแก่ผู้พบเห็น แต่ท่านจิกเนื้อ
ที่หลังของตนกินเป็นอาหาร ท่านได้ทำกรรมชั่ว
อะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะวิบากแห่งกรรม
อะไร ท่านจึงจิกเนื้อหลังของตนเองกินเป็น
อาหาร.

เปรตนั้นตอบว่า
กระผมได้ประพฤติทุจริตด้วยการส่อเสียด
พูดเท็จและหลอกลวง เพื่อความฉิบหายแก่ตน
ในมนุษยโลก กระผมไปแล้วบริษัทในมนุษย-
โลกนั้น เมื่อเวลาควรจะพูดความจริงปรากฏแล้ว